ปรับใหม่เพิ่ม… Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย
ฮอนด้า บีอาร์-วี เปิดตัวสู่ตลาดประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2558 ในฐานะยนตรกรรมสปอร์ตอเนกประสงค์ที่เข้ามาเติมเต็มไลน์อัปรถเอสยูวีของฮอนด้า ให้ครอบคลุมความต้องการของตลาดและตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น พัฒนาโดยทีมวิศวกรจากบริษัท ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ด้วยการผสานจุดเด่นของรถเอ็มพีวีและเอสยูวีไว้อย่างครบครัน ทั้งดีไซน์แข็งแกร่งสไตล์สปอร์ต พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง พร้อมการนำเสนอคุณค่าใหม่และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้รถเอสยูวียิ่งขึ้น สู่การเป็นยนตรกรรมที่พร้อมตอบรับการใช้งานในทุกการเดินทาง



ครั้งนี้ ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 ยนตรกรรมอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง พร้อมนำเสนอคุณค่าใหม่ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตพรีเมียม แข็งแกร่ง ขับเคลื่อนอย่างทรงพลังและเหนือกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า และระบบเกียร์ CVT พร้อมสมรรถนะที่ได้รับการยกระดับในทุกด้าน ทั้งสมดุลในการขับขี่ ระบบช่วงล่างและการควบคุมรถ มั่นใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ในทุกรุ่นย่อย พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ถุงลม 6 ตำแหน่ง* ภายในห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น มาพร้อมความอเนกประสงค์โดยเบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่ 2 และแถวที่ 3 สามารถปรับพับได้หลายรูปแบบ ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานที่เชื่อมต่อผู้ใช้งานกับรถให้เป็นหนึ่งเดียว อาทิ มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) พร้อมเป็นยนตรกรรมที่ส่งมอบประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่ และสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขให้แก่ทุกคนในทุกเส้นทาง

ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ พัฒนาภายใต้แนวคิดหลัก “Jetliner Cross” เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่ที่สะดวกสบายราวกับโดยสารไพรเวตเจ็ต ด้วยการผสานดีไซน์สไตล์สปอร์ต สมรรถนะอันทรงพลัง พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายไว้อย่างลงตัว เพื่อยกระดับ บีอาร์-วี ใหม่ สู่การเป็นพรีเมียมเอสยูวี
โดยผสานคุณค่าจาก 3 ด้านหลักๆ ได้แก่
1. คุณค่าของความเป็นรถเอสยูวี (SUV Value) รูปลักษณ์ที่แข็งแกร่ง บึกบึน แต่ยังคงความสปอร์ตพรีเมียม
2. คุณค่าของความเป็นรถเอ็มพีวี (MPV Value) ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายในทุกที่นั่ง มาพร้อมความอเนกประสงค์ ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
3. ความเพลิดเพลินในการขับขี่ (Driving Pleasure) การขับขี่ที่สนุกอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่น มอบการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจ ขณะเดียวกันยังประหยัดน้ำมัน และมอบความนุ่มนวลตลอดการเดินทาง

ความลงตัวของดีไซน์ สู่ลุคสปอร์ตพรีเมียม แข็งแกร่ง ลงตัวในทุกมิติ
ดีไซน์ภายนอก ออกแบบภายใต้แนวคิด “Sleekness on Cross Motion” ด้วยการใช้เส้นสายด้านข้างตัวรถที่ลากยาวต่อเนื่องจากด้านหน้าสู่ด้านท้าย สะท้อนความปราดเปรียวและความแข็งแกร่งทรงพลังไปพร้อมๆ กัน เสริมด้วยล้อและยางขนาดใหญ่ที่สะท้อนความเป็นเอสยูวีชัดเจนยิ่งขึ้น และยังสามารถสัมผัสได้ถึงความกว้างขวางสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร แม้เพียงมองจากภายนอก




กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ สะท้อนความโดดเด่นยิ่งขึ้นในรุ่น EL ที่มาพร้อมสี Piano Black กันชนหน้าและหลังดีไซน์ใหม่ ตกแต่งสีเงิน (รุ่น EL) ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (รุ่น EL) กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมพับเก็บอัตโนมัติ (รุ่น EL) คิ้วตกแต่งสเกิร์ตข้างสีเงิน (รุ่น EL) ราวหลังคาตกแต่งแบบสปอร์ต เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว (รุ่น EL) และขนาด 16 นิ้ว (รุ่น E)
ตอบสนองทุกการเดินทาง ด้วยสมรรถนะการขับขี่อันทรงพลังและนุ่มนวล
ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยแรงขับที่เหนือกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานกับระบบเกียร์ CVT ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อมอบสมรรถนะที่ดีเยี่ยม ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาทีและแรงบิดสูงสุดที่ 145 นิวตัน-เมตรที่ 4,300 รอบต่อนาที ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ทรงพลัง มอบอัตราการประหยัดน้ำมัน 16.1 กม./ลิตร รองรับพลังงานทางเลือก E20

ทีมพัฒนาได้เสริมคุณค่าของความเป็นรถเอ็มพีวี (MPV Value) ให้กับ ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ทั้งในเรื่องของการควบคุมพวงมาลัย การทรงตัวที่มั่นคง และความแข็งแกร่งของตัวถัง เพื่อให้สมรรถนะโดยรวมเหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน โดยยึดแนวคิดตามคุณค่าหลัก 3 ด้าน ได้แก่
1. คุณค่าของความเป็นรถเอสยูวี (SUV Value) มีความกว้างและความยาวของฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มการทรงตัวที่มั่นคงในสไตล์รถเอสยูวี เสริมด้วยความสูงใต้ท้องรถที่เพิ่มขึ้น และขนาดยางที่ใหญ่ขึ้น รวมทั้งโครงสร้างของตัวถังที่ได้สมดุลของความแข็งแกร่ง
2. คุณค่าของความเป็นรถเอ็มพีวี (MPV Value) มีการปรับปรุงโครงสร้างของสมรรถนะด้านเสียงและความสั่นสะเทือน หรือ NV เพื่อให้ห้องโดยสารมีความสบายและความเงียบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการใช้แผ่นดูดซับการสั่นสะเทือนที่ตัวเบาะ รวมทั้งการเพิ่มพนักเท้าแขน มาพร้อมระบบปรับอากาศที่เย็นสบายและทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการนั่งโดยสารให้มากยิ่งขึ้น
3. ความเพลิดเพลินในการขับขี่ (Driving Pleasure) ทั้งระบบส่งกำลัง ระบบพวงมาลัย และระบบช่วงล่าง มีการพัฒนาและปรับแต่ง เพื่อให้ได้ความเพลิดเพลินในการขับขี่

ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย เพิ่มความอุ่นใจในทุกการเดินทาง
ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้
– ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
– ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ
– ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ โดยระบบจะทำงานเมื่อรถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 72 กม./ชม. ขึ้นไป
– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม โดยระบบจะทำงานเมื่อรถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. ขึ้นไป



– ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW) ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร โดยระบบจะทำงานเมื่อรถยนต์วิ่งอยู่ที่ความเร็ว 72 กม./ชม. ขึ้นไป
– ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า นอกจากนี้ ระบบจะปรับไฟหน้าเป็นไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่อขับขี่ในเส้นทางที่มืดหรือในเวลากลางคืน โดยจะทำงานที่ความเร็ว 30 กม./ชม. ขึ้นไป
– ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า โดยระบบจะทำงานเมื่อตรวจพบรถคันหน้ามีการเคลื่อนที่ ในสภาวะที่รถอยู่ห่างกันภายในระยะ 10 เมตร และรถของผู้ขับขี่ไม่มีการเคลื่อนที่
พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ* อาทิ
– ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
– ถุงลม 6 ตำแหน่ง (รุ่น EL) ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้า (Side Airbags) และม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
– ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) โดยประตูรถจะล็อกโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่เดินออกห่างจากตัวรถขณะที่ถือกุญแจรีโมทอยู่ ซึ่งระบบจะมีเสียงและไฟกระพริบเตือนเพื่อยืนยันว่ารถล็อก
– ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder) ที่มีการติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถระดับนี้ โดยเป็นการแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบผู้โดยสารหรือสิ่งของที่เบาะด้านหลัง ผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียงเมื่อดับเครื่องยนต์
– ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็วรถ (Auto Door Lock By Speed)
– กล้องส่องภาพด้านหลัง
– สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
– ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
– ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
– ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
– โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON และ ACETM ช่วยปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง
– จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)

ห้องโดยสารกว้างขวางโปร่งโล่ง สะดวกสบาย ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในทุกที่นั่ง สู่สุนทรียภาพในทุกการเดินทาง
ภายในห้องโดยสารออกแบบภายใต้แนวคิด “Pride & Confidence” มอบความสะดวกสบายในทุกที่นั่งและสุนทรียภาพในทุกการเดินทาง อีกทั้งทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมในสไตล์รถเอสยูวี ผสานความมุ่งเน้นในการมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ การเลือกใช้วัสดุที่สะท้อนความพรีเมียม และความอเนกประสงค์ของพื้นที่ภายในห้องโดยสารไว้อย่างลงตัว บริเวณคอนโซลกลางออกแบบเพื่อมอบพื้นที่ความเป็นส่วนตัวรอบคนขับ เลย์เอาต์และฟังก์ชันการใช้งานได้รับการจัดวางอย่างเหมาะสม พร้อมพื้นที่ใช้สอยและช่องเก็บของที่รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ยกระดับความพรีเมียมด้วยวัสดุตกแต่งคอนโซลแบบ Piano Black พร้อมเบาะหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์ในทุกรุ่นย่อย



– ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ด้วยห้องเก็บสัมภาระท้ายที่มากขึ้นกว่าเจเนอเรชันก่อน พร้อมเบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่ 2 และแถวที่ 3 ที่สามารถปรับพับเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้หลากหลายรูปแบบ
– เบาะนั่งแถวที่ 2 มีพื้นที่ช่วงขากว้างขึ้น สามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) โดยสามารถปรับเลื่อนหน้า-หลัง และพนักพิงปรับเอนได้ 3 ระดับ
– เบาะนั่งแถวที่ 3 มีพื้นที่ช่วงขากว้างขึ้น โดยสามารถพับแยกแบบ 50:50 และพนักพิงปรับเอนได้ 2 ระดับ
– มาพร้อมระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) ที่สามารถสั่งการได้จากระยะไกล โดยระบบจะสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ล่วงหน้าก่อนการขับ และระบบปรับอากาศจะเริ่มทำงานทันที เพื่อช่วยอุ่นเครื่องและปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้เย็นสบายล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง ในขณะเดียวกันประตูรถยังคงล็อกอยู่เช่นเดิม และรถจะไม่สามารถออกตัวได้จนกว่าผู้ขับขี่จะทำการสตาร์ทรถตามปกติ
– ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
– ที่วางแก้วน้ำ 8 ตำแหน่ง
– พนักเท้าแขนด้านหน้าและด้านหลัง


ตอบโจทย์การใช้งาน ให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่และความบันเทิงที่เชื่อมต่อผู้ใช้งานกับรถให้เป็นหนึ่งเดียว
– มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว
– ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) (รุ่น EL)
– ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
– พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
– ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่ง
– ช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง (รุ่น E) และ 3 ตำแหน่ง (รุ่น EL)
– ลำโพง 4 ตำแหน่ง (รุ่น E) และ 6 ตำแหน่ง (รุ่น EL)



สีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) (เฉพาะรุ่น EL) สีดำคริสตัล (มุก) และสีขาวทาฟเฟต้า (เฉพาะรุ่น E) สำหรับสีภายใน รุ่น EL จะมาพร้อมสีดำ และ รุ่น E มาพร้อมสีภายในสีทูโทน (ดำ/มอคค่าเกรย์)

Comment : ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ที่มาในโฉมเจนฯ ที่ 2 จากการที่ได้มีโอกาสลองขับในเส้นทาง กรุงเทพฯ – สระบุรี รวมระยะทางไป-กลับกว่า 280 กิโลเมตร สิ่งที่ชอบคือ สมรรถนะที่เป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ทั้งในเรื่องการออกตัว การเร่งแซง ทำได้ดี ถึงแม้จะอยู่ในรูปร่างของรถตอนยาว หลายคนอาจจะมองว่ามันอาจจะอืดอาดยืดยาดไปเสียนิด แต่ด้วยกำลัง 121 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ CVT ที่พัฒนาใหม่ ทำให้กำลังทอร์คดีขึ้น พวงมาลัยเลี้ยวแม่นยำมากขึ้น อาจจะเป็นฟีลการขับขี่แบบแจ๊ส ในร่างคันใหญ่ขึ้นมาอีกนิด อะไรประมาณนั้น…
จุดน่าสนใจของ ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ที่เพิ่มเข้ามานั้น เน้นในเรื่องของความปลอดภัย โดยการเพิ่ม Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ส่วนอื่นๆ จะเป็นระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่ในรุ่นก่อนยังไม่มีนั่นเอง นอกจากนี้ความอเนกประสงค์ของการบบรทุก เป็นอีกจุดที่น่าสนใจไม่แพ้กันค่ะ ความกว้างขวาง ที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถปรับเปลี่ยน รองรับผู้ใช้งานในแบบคุณผู้หญิง ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะขนของจากห้างฯ ไปตลาดต้นไม้ เปิดท้ายขาย บรรทุกของต่างๆ โดยที่เบาะนั่ง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ น่าจะถูกใจสำหรับคุณผู้หญิงที่ชอบรถที่กว้างๆ ขับง่ายสบายๆ แบบ ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ แน่นอนค่ะ