เมื่อเร็ว ๆ นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ร่วมแสดงวิสัยทัศน์สะท้อนการเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ในงาน International NEV Summit 2024 ครั้งที่ 2 โดย นายชาญศักดิ์ หลายเจริญโชคชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้บรรยายในหัวข้อ “Insights into the NEVs Market in Southeast Asia” เผยความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ มองอดีตและอนาคต พร้อมข้อมูลวิเคราะห์เจาะลึกอย่างละเอียดทั้งแนวโน้มของอุตสาหกรรม โอกาส ความท้าทาย และพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย และทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน พร้อมชี้โอกาสการเติบโตทางธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ โดยเน้นกลยุทธ์สร้างเอกลักษณ์และมอบความแตกต่างให้ผู้บริโภคสู่การนำพาแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ และขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคอาเซียน โดยงาน International NEV Summit 2024 ครั้งที่ 2 ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ณ ห้องคอนราด บอลลูน โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ
งาน International NEV Summit 2024 ครั้งที่ 2 เป็นการประชุมระดับนานาชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาตลาดรถยนต์พลังงานใหม่เพื่ออนาคต รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยภายในงานรวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้บริหารระดับสูง และนักวิจัย เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวโน้มการพัฒนาตลาดพร้อมวางแผนกลยุทธ์อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ และโอกาสในการดำเนินธุรกิจในกลุ่มของรถยนต์พลังงานใหม่
นายชาญศักดิ์ หลายเจริญโชคชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) วิเคราะห์ข้อมูลตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ทั้งในไทยและในภูมิภาคอาเซียนว่า “ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนในปี พ.ศ. 2566 มียอดขายทั้งสิ้น 3.4 ล้านคัน โดยในจำนวนนี้เป็นรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) กว่า 3 แสนคัน หรือ 8% ของตลาดรถยนต์โดยรวมทั้งหมด โดยใน 8% นี้ แบ่งเป็น รถยนต์ไฮบริด (HEV) 4%, รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด (PHEV) 1%, และรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) 3% โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มียอดขายรถ NEV สูงที่สุดในตลาดอาเซียน หรือประมาณ 64% ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 19%, มาเลเซีย 8%, เวียดนาม 6% และฟิลิปปินส์ ที่ 3% โดยรถ NEV ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในอาเซียนจะเป็นรถเอสยูวีและรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 ตลาดอาเซียนจะมียอดขายรถ NEV เพิ่มขึ้นจาก 3 แสนคันเป็น 6 แสนคัน หรือมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 18% ของตลาดรถยนต์โดยรวม ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญให้แบรนด์ต่าง ๆ ได้เร่งทำกลยุทธ์เพื่อคว้าโอกาสใหญ่นี้ท่ามกลางจำนวนประชากรในภูมิภาคที่มีมากถึง 640 ล้านคน โดยอีก 6 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรจะทะลุถึง 721 ล้านคน และยังเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยศักยภาพในการเป็นมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจ เป็นที่ตั้งของแรงงานของคนรุ่นใหม่ไปจนถึงกลุ่มคนระดับกลางที่กำลังเติบโต”
เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่สร้างการเติบโตของรถยนต์ NEV ในแต่ละประเทศในตลาดอาเซียนจะพบว่า นโยบายภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการผลิตและการใช้รถยนต์ NEV โดยในประเทศไทย มีนโยบาย 30@30 การส่งเสริมการลงทุนของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ประเทศมาเลเซียตั้งเป้าหมายสัดส่วนรถยนต์ NEV 31%, 40%, 70% ภายในปี 2569, 2578, และ 2593 ตามลำดับ สำหรับประเทศอินโดนีเซีย ตั้งกลยุทธ์ INDONESIA AUTOMOTIVE 4.0 เป้าหมายมีรถยนต์ NEV 20% ภายในปี 2569 รวมถึงให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนผลิตแบตเตอรี่ในการใช้แร่นิกเกิลที่มีอยู่ในประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ ในประเทศเวียดนาม ตั้งเป้าให้รถยนต์ทุกคันบนถนนเป็นรถยนต์พลังงานสีเขียวภายในปี 2593 และในประเทศฟิลิปปินส์ ออกนโยบายการลดภาษีนำเข้ารถ NEV เหลือ 0% จนถึงปี 2571 เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตลาด NEV ในอาเซียนก็ยังมีความท้าทายในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความต่อเนื่องของนโยบายของภาครัฐ การกีดกันทางการค้าทั้งในรูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี ความพร้อมของผู้ผลิตชิ้นส่วนประกอบอะไหล่ต่าง ๆ ภายในประเทศ รวมถึงข้อกังวลในมุมมองผู้บริโภค ทั้งในด้านของราคาชิ้นส่วนอะไหล่โดยเฉพาะแบตเตอรี่ ค่าประกันภัยรถยนต์ NEV ความพร้อมของสถานีชาร์จ ความไม่มั่นใจในคุณภาพสินค้า ราคาขายต่อ ความกังวลด้านบริการหลังการขายและความรู้ความชำนาญของช่างเทคนิค รวมถึงความกังวลผลพวงจากสงครามราคา ล้วนเป็นปัจจัยที่ชะลอการเติบโตของตลาดรถยนต์ NEV ในภูมิภาคอาเซียนทั้งสิ้น
สำหรับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เข้ามาดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนโดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นประเทศยุทธศาสตร์ โดยในประเทศไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ พร้อมและเร่งขับเคลื่อนปรับกลยุทธ์ด้วยการสร้างความแตกต่างผ่านการนำเสนอรถยนต์พลังงานใหม่กว่า 10 รุ่น โดยครอบคลุมทุกประเภทเครื่องยนต์ที่หลากหลายและครอบคลุม ทั้งไฮบริด ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มรถยนต์ตระกูล HAVAL และ ORA ที่ได้รับความนิยมและความไว้วางใจมาอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการใช้งานรถยนต์พลังงานใหม่ในกลุ่มนรถยนต์อเนกประสงค์และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รวมถึงเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและนวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยขั้นสูงสุด การออกแบบที่มีเอกลักษณ์และเพื่ออนาคต งานบริการหลังการขายที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเร่งเดินหน้าผลักดันให้ประเทศไทยมีระบบนิเวศรถยนต์พลังงานใหม่ที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การตั้งโรงงานอัจฉริยะแห่งแรกในอาเซียนเมื่อปี พ.ศ. 2564 ที่จังหวัดระยอง รวมถึงการนำพันธมิตรทางธุรกิจในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น โรงงานผลิตแบตเตอรี่ SVOLT, HYCET, NOBO, MIND, และ Exquisite สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้อีกด้วย
นอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังนำรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ภายใต้นโยบาย One Price Policy ที่สร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการกำหนดราคา ให้ผู้บริโภคคลายความกังวลด้วยราคาเดียวกันทั่วประเทศ โมเดลการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ สโตร์ (Partner Models) ที่เน้นการสร้างความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกัน การให้บริการแบบผสานช่องทางการค้าแบบออนไลน์สู่ออฟไลน์ (Online to Offline Commerce) ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และ Smart Service ที่มุ่งเน้นการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล รวมถึงการรับฟังเสียงของผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (User-Centric) เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่รถยนต์พลังงานใหม่เพื่ออนาคต เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน อยู่เคียงข้างคนไทยและผลักดันศักยภาพของประเทศไทยเพื่อก้าวเป็นผู้นำอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้วิสัยทัศน์ In Thailand, For Thailand